วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

งานวิจัยการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ของประชาชนในเขตเทศบาลเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี

งานวิจัยการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009
ของประชาชนในเขตเทศบาลเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ความสำคัญและที่มาของงานวิจัย
ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ที่มาสามารถระบาดได้กว้างขวาง และมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ โรคนี้มีชื่อภาษาอังกฤษ “Influenza” ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน คือ Influentia (แปลว่า“Influence”ความชั่วร้ายจากดวงดาว) นายแพทย์ฉิปโปเครติ บิดาแห่งการแพทย์ปัจจุบันได้บันทึกโรคนี้ในปี ค.ศ. 131 ปี พ.ศ.2476 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเป็นครั้งแรกว่า โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเป็นไข้หวัด ที่ห้องประชุมโรงแรมบ้านเชียง อ.เมือง จังหวัดอุดรธานี นายแพทย์สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการในการซ้อนแผนเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดนก จังหวัดอุดรธานี ปี 2551 ให้กับหน่วยงานทุกภาคส่วนในระดับจังหวัดจำนวน 160 คน
นายแพทย์สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อโดยเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นเป็นประจำในประเทศทั่วโลก โดยเกิดการระบาดใหญ่เป็นระยะๆ ทุก 10-30 ปี ซึ่งทำให้ประชาชนต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในประเทศไทยคาดการณ์ถ้ามีการเตรียมรับเป็นอย่างดี จะมีผู้ป่วยประมาณ 6.5 ล้านคน และอาจเสียชีวิตประมาณ 6,500 คน กรณีไม่มีการเตรียมความพร้อมจะมีผู้ป่วยประมาณ 26 ล้านคน และอาจเสียชีวิตประมาณ 260,000 คน หรือมากกว่านั้น “นอกจากนี้จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา และความมั่นคงของประเทศอย่างมาก เชื้อที่เป็นสาเหตุของการระบาดแต่ละครั้ง เชื่อว่าเป็นเชื้อที่กลายพันธุ์มาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ เช่นเชื้อไข้หวัดนก ในปี 2547 ประเทศไทยพบการระบาดของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ในสัตว์ปีกทั้งยังติดมาสู่คน ซึ่งเป็นสภาวะที่มีความเสี่ยงต่อการพัฒนาไปสู่ระยะการระบาดใหญ่ได้
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาการรับข้อมูลข่าวสารของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานีถึงการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009
2.เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009ของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี
3.เพื่อศึกษาความพึงพอใจของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานีเกี่ยวกับผลการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเรื่องของการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009



วิธีการดำเนินงานการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาถึงการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ประชากรในเขตเทศบาลอุดรธานีเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้วิจัยจึงได้กำหนดวิธีดังต่อไปนี้
1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรการวิจัยได้แก่ประชากรในเขตเทศบาลนครอุดรธานี จำนวน 400 คน
กำหนดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีการเทียบจากตารางสำเร็จของ เคร็คกีและมอร์แกน โดยกำหนดความเชื่อมั่น 95 %
2.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งผู้วิจัยดำเนินการสร้างขึ้นจากการค้นคว้าและการดัดแปลงเอกสารงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยโดยลำดับขั้นตอน
3.การทดสอบความน่าเชื่อถือของเครื่องมือ
3.1.นำแบบสอบถามไปหาความเที่ยงตรง โดยนำแบบสอบถามที่ได้เรียบเรียงแล้วไปให้นักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหา
3.2.นำแบบสอบถามที่ได้แก้ไขแล้วไปทดสอบความเชื่อมั่น โดยนำแบบสอบถามไปทดสอบใช้กับกลุ่มประชาชนที่ไม่ได้เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 510 ชุด
4.การเก็บรวบรวมข้อมูล
4.1.ดำเนินเก็บข้อมูล โดยให้ประชาชนตอบแบบสอบถาม
4.2.ตรวจสอบความถูกต้อง ลงรหัสและนำไปวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
5.เกณฑ์การให้คะแนนเพื่อการวิเคราะห์
การให้คะแนนตอบที่ให้จากแบบสอบถามในการวัดตัวแปร เพื่อคำนวณค่า ทางสถิติจะถือตามความหมายในการกำจัดความนิยามศัพท์เป็นเกณฑ์ดังนี้
ความคิดเห็นในการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร จากคำตอบ ให้ค่าคะแนนดังนี้
ตอบ 1 คะแนน
ไม่ตอบ 0 คะแนน
6.การประมวลผลข้อมูล
หลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยจะทำการลงรหัสข้อมูลแล้วนำผลที่ได้ไปประมวลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS/PC
7.การวิเคราะห์ข้อมูล
7.1.ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบใช้สถิติค่าร้อยละ (Percentiles) โดยคำนวณในจากหลักสูตรดังต่อไปนี้

F x 100
สูตร P=
n

เมื่อ P แทน ค่าร้อยละ
F แทน จำนวนหรือความถี่ที่ต้องการหาค่าร้อยละ
N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด
7.2.ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ของประชาชนในเทศบาลอุดรธานีใช้สถิติ ( X ,Mean )และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D Standard Deviaition)
1.ค่าเฉลี่ย Mean โดยคำนวณจกสูตรดังต่อไปนี้

∑fx
____
สูตร X=
N

7.3.เกณฑ์ที่ใช้แปรผล
เกณฑ์ในการแปรผลการวิเคราะห์ข้อมูลพิจารณาค่าเฉลี่ยของข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัด 2009 ของประชากรในเขตเทศบาลเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีด้วยการแปรเป็นเชิงปริมาณโดยค่าเฉลี่ย (X,Mean) ซึ่งแบ่งได้ 5 ระดับ
7.3.1. มากที่สุด
7.3.2. มาก
7.3.3. ปานกลาง
7.3.4. น้อย
7.3.5. น้อยที่สุด






สรุปผลงานวิจัย
1.ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
1.1.จากการศึกษาลักษณะทั่วไปของประชาชนในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ส่วนใหญ่คือเพศ หญิงจำนวน 231 คนคิดเป็นร้อยละ 57.8 เพศชาย จำนวน 169 คน
คิดเป็นร้อยละ 42.3
1.2.จากการศึกษาลักษณะทั่วไปของประชาชนในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ส่วนใหญ่มีอายุ19-21 ปีจำนวน111คน คิดเป็นร้อยละ 27.8รองลงมาคือ 21-24 ปี จำนวน 109 คน คิดเป็นร้อยละ 27.3 อายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวน 82 คน คิดเป็นร้อยละ 20.5 ต่อมาอายุ 16-18 ปี จำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 18.0 และอายุ12-15 ปี จำนวน 26 คน
คิดเป็นร้อยละ 6.5
1.3.จากการศึกษาลักษณะทั่วไปของประชาชนในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ส่วนใหญ่มีอาชีพนักศึกษา จำนวน 227 คน คิดเป็นร้อยละ 56.8 รองลงมา นักเรียน จำนวน 75 คน คิดเป็นร้อยละ 18.8 ค้าขาย 68 คน คิดเป็นร้อยละ 17.0 ต่อมา นักธุรกิจ จำนวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 3.5 อื่นๆ จำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 2.3
และรับราชการ 7 คน คิดเป็นร้อยละ 1.8
1.4.จากการศึกษาลักษณะทั่วไปของประชาชนในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับบิดา มารดา จำนวน 166 คน คิดเป็นร้อยละ 41.5 รองลงมามาเพื่อน จำนวน 108 คน คิดเป็นร้อยละ 27.0 อื่นๆ จำนวน 56 คน คิดเป็นร้อยละ 14.0 ต่อมา ญาติ จำนวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 11.5 บิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 4.5 และเฉพาะพี่น้อง จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 2.0
1.5.จากการศึกษาลักษณะทั่วไปของประชาชนในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ส่วนใหญ่ลักษณะที่พักอาศัยอยู่บ้าน จำนวน 229 คน คิดเป็นร้อยละ 57.3 รองลงมา หอพักจำนวน 87 คน คิดเป็นร้อยละ 21.8 บ้านเช่า จำนวน 69 คน คิดเป็นร้อยละ 17.3 ต่อมาอพาร์ตเม้น จำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 2.8 และอื่น ๆ จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 1.0





2.พฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ของระชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานีพบว่า
2.1.ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 45.3 รองลงมาคือมาก คิดเป็นร้อยละ 26.3 ปานกลางคิดเป็นร้อยละ 25.3 ต่อมาน้อย คิดเป็นร้อยละ 2.3 และน้อยที่สุดคิดเป็นร้อยละ 1.0
2.2.ประชาชนส่วนใหญ่มีการรับมือกับไข้หวัด 2009 ใช้หน้ากากอนามัย คิดเป็นร้อยละ 72.0 ลำดับที่ 2 หมั่นล้างมือบ่อยๆ คิดเป็นร้อยละ65.8 ลำดับที่ 3 เมื่อรู้สึกไม่สบายให้ไปหาหมอทันที คิดเป็นร้อยละ 29.3 ลำดับที่ 4ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย คิดเป็นร้อยละ 23.3 และลำดับสุดท้ายอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 5.0
2.3.ประชาชนส่วนใหญ่กลัวการติดเชื้อ กลัวมากที่สุด ร้อยละ 19.8 กลัวมาก ร้อยละ 50.8 ปานกลาง ร้อยละ 22.0 กลัวน้อย ร้อยละ 2.5 กลัวน้อยที่สุด 5.0
2.4.ประชาชนส่วนใหญ่ ได้รับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 จากโทรทัศน์ ร้อยละ 89.0 หนังสือพิมพ์ ร้อยละ 34.0 อินเตอร์เน็ต ร้อยละ 31.3 วิทยุ ร้อยละ 22.8 คนใกล้ชิด ร้อยละ 19.8
2.5.ประชาชนส่วนใหญ่มีวิธีการป้องกัน ใส่หน้ากากอนามัย คิดเป็นร้อยละ 78.0 กินช้อนกลาง ร้อยละ 59.5 ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ ร้อยละ 47.0ไม่เข้าใกล้คนที่ติดเชื้อ ร้อยละ 33.0 อื่นๆ ร้อยละ 7.3
2.6.ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแพร่ระบาด ร้อยละ 61.5 ได้รับ ร้อยละ 38.5 ตามลำดับ
2.7.ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล การป้องกันร้อยละ 73.3 รองลงมา การแพร่เชื้อและการติดเชื้อ ร้อยละ 21.0 ยาชนิดที่สามารถรักษาโรคไข้หวัด 2009 ร้อยละ 5.5 สุดท้ายอื่นๆร้อยละ 0.3
3.สภาพความพึงพอใจในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ในเขตทศบาลนครอุดรธานี
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ในเขตทศบาลนครอุดรธานี
พบว่าสภาพความพึงพอใจในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 ของประชาชนในเขตเทศบาลนครออุดรธานี ศึกษาพบว่าประชาชนมีความพึงพอใจในการเปิดรับข้อมูลข่าวสารมากที่สุด ความพึงพอใจต่อการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 มากที่สุด ร้อยละ 44.8 และน้อยที่สุด ร้อยละ 0.5 ความพึงพอใจต่อการรักษาไข้หวัด 2009 มากที่สุด ร้อยละ 50.5 และน้อยที่สุด ร้อยละ 0.5 ความพึงพอใจต่อการควบคุมการป้องกันไข้หวัด 2009มากที่สุด ร้อยละ 51.0 และน้อยที่สุด ร้อยละ0.3 ความพึงพอใจต่อการควบคุมการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 มากที่สุด ร้อยละ 54.8 และน้อยที่สุด ร้อยละ 2.8

สรุปรวมผลการวิจัย
จากการวิจัยจะพบได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ 2009 มากที่สุด คือการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 และรองลงมาคือการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อถ้าคิดเป็น ร้อยละ 78.0 กินช้อนกลาง ร้อยละ 59.5 ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ ร้อยละ 47.0
จากการวิจัยเกี่ยวกับการเปิดรับข้อมูลข่าวสารไข้หวัดใหญ่ 2009 พบได้ว่าประชาชน มีความสนใจในการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร มีการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 และการควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดเป็นกันมาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพกันอย่างดี
สิ่งที่ได้รับจากการวิจัย
1.ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเปิดรับข้อมูลข่าวสารของไข้หวัดใหญ่ 2009 ของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี
2.ได้เรียนรู้วิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่2009ของประชาชนในเขตเทศบาลนคร อุดรธานี
3.ได้เรียนรู้ถึงความพึงพอใจของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานีเกี่ยวกับผลการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเรื่องของการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

ชื่อผลงานวิจัย การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็นแบบสมบูรณ์เพื่อพัฒนาครูมืออาชีพ

ชื่อผลงานวิจัย การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็นแบบสมบูรณ์เพื่อพัฒนาครูมืออาชีพ
หัวข้อ(Eng) A COMPLETE NEEDS ASSESSMENT RESEARCH FOR PROFESSIONAL
คำสำคัญ(keyword) การประเมินความต้องการจำเป็นแบบสมบูรณ์/ครูมืออาชีพ
ชื่อผู้วิจัย พิมพ์ลักษณ์ เฮงสมบูรณ์
ชื่อผู้วิจัย(Eng) Pimluck Hengsomboon
ตำแหน่ง นิสิต
การศึกษา ปริญญาโท
สถานที่ติดต่อ 2506/18-19 JJ-House ถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
สถานศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปี 2551


ประวัติความเป็นมา (History)
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ความสำคัญในการพัฒนาครูและคุณภาพของครูดังปรากฏในหมวด 7 (มาตรา 52) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูงและกำหนดให้มีองค์กรวิชาชีพครูมีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครูเป็นการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติงานของครูให้สอดคล้องกับมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพเพื่อให้การปฏิบัติงานของครู อาจารย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา, 2544) โดยให้มีการปฏิรูปกระบวนการพัฒนาครูที่มีอยู่ควบคู่กับการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้คนดีคนเก่งมาเป็นครู ความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูปการศึกษาโดยเฉพาะการปฏิรูปครู ตั้งแต่กระบวนการผลิตครู กระบวนการใช้ครู การพัฒนาและการรักษามาตรฐานวิชาชีพครู เนื่องมาจากครูยังไม่มีคุณลักษณะตามที่สังคมต้องการและครูยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์จนเกิดปัญหากับครูประกอบกับสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงต้องมีการพัฒนาครูเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจากผลงานวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติร่วมกับสวนดุสิตโพล 2545 (อ้างถึงในไพลวัลย์ ชินโณ, 2547) พบว่า คุณภาพของครู ความรู้ ความสามารถ ความศรัทธา อุดมการณ์ และเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครู อยู่ในระดับที่ควรปรับปรุงแก้ไข และต้องเร่งพัฒนา ด้วยความตระหนักในความสำคัญของการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับการพัฒนาครูในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว คุรุสภาในฐานะสถาบันวิชาชีพครูจึงได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ครูจึงต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ เห็นได้ว่าปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นต้นเหตุที่นำไปสู่การปฏิบัติงานของครูที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของงานที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างมากและเป็นขั้นตอนในการวางแผนการพัฒนาบุคลากร คือ การประเมินความต้องการจำเป็นการประเมินความต้องการจำเป็น (needs assessment) เป็นกระบวนการเพื่อกำหนดความแตกต่างระหว่างสภาพที่มุ่งหวัง (what should be) กับสภาพที่เป็นอยู่จริง (what is) (สุวิมล ว่องวาณิช, 2548) โดยระบุสิ่งที่ต้องการให้เกิดว่ามีลักษณะเช่นใด และประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นจริงว่าสมควรเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาว่ามีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงานด้านใด ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพและทางเลือกในการแก้ปัญหาความต้องการจำเป็นมีอะไรบ้าง ทางเลือกใดมีความเหมาะสม เพื่อให้การพัฒนาครูเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาเป็นครูมืออาชีพต่อไป
วัตถุประสงค์(Objective)
1. เพื่อกำหนดความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพ
2. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยสาเหตุที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพ
3. เพื่อวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญหาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพที่
กลุ่มตัวอย่าง(Sample)
ครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 440 คน
เครื่องมือ (Tool)
แบบสอบถาม
การวิเคราะห์ (Analysis)
วิเคราะห์ระดับการปฏิบัติงานของครูด้วยสถิติพื้นฐาน การประเมินความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของครูโดยใช้ดัชนี (PNIModified) วิเคราะห์ปัจจัยเชิงสาเหตุด้วยค่าสถิติพื้นฐาน วิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสังเกตได้ โดยใช้โปรแกรม SPSS for Windows และตรวจสอบความตรงของโมเดลเชิงสาเหตุปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงาน และโมเดลแนวทางการพัฒนาครูที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงาน ด้วยโปรแกรม ลิสเรล (LISREL for Windows) และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)
ข้อสรุป (Summary)
1. การปฏิบัติงานของครูมืออาชีพ จำแนกตามแต่ละด้านของการปฏิบัติงาน การปฏิบัติงานของครูมืออาชีพด้านการวางแผนและการเตรียมการสอน ด้านการจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียน ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านความรับผิดชอบในวิชาชีพอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านพบว่า ด้านที่ครูมีการปฏิบัติค่อนข้างสูงที่สุด คือ การจัดการเรียนการสอน รองลงมา คือ การวางแผนและการเตรียมการสอน ตามด้วยการจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียน และความรับผิดชอบในวิชาชีพเป็นด้านที่ครูมีการปฏิบัติน้อยที่สุด
2. การประเมินความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของครูมืออาชีพ
1) ความต้องการจำเป็นในการวางแผนและการเตรียมการสอนที่สำคัญที่สุด คือ การกำหนดให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ รองลงมา ได้แก่ การสืบค้นข้อมูลและแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติมจากชุมชนและท้องถิ่น
2) ความต้องการจำเป็นในการจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนที่สำคัญที่สุด คือ การจัดมุมการเรียนรู้ในห้องเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันอย่างสนุกสนาน รองลงมา ได้แก่ การร่วมกันจัดป้ายนิเทศและมุมการเรียนรู้ภายในห้องเรียน
3) ความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนการสอนที่สำคัญที่สุด คือ การใช้สื่อการสอนที่เหมาะสมกับกิจกรรม เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละบุคคล/แต่ละกลุ่ม รองลงมา ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดและร่วมกันอภิปรายในหัวข้อเรื่องที่ท่านทำการสอนอยู่
4) ความต้องการจำเป็นในความรับผิดชอบในวิชาชีพที่สำคัญที่สุด คือ การเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการเป็นวิทยากรให้ความรู้กับประชาชนในชุมชน รองลงมา ได้แก่ การเผยแพร่ผลงานเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนให้แก่เพื่อนครู/หน่วยงานอื่นที่สนใจและเกี่ยวข้อง โดยสรุป เมื่อพิจารณาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงานในแต่ละด้าน พบว่า ด้านความรับผิดชอบในวิชาชีพ เป็นด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุดที่ครูควรได้รับการพัฒนา รองลงมา ได้แก่ การจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียน การวางแผนและการเตรียม การสอน และการจัดการเรียนการสอน ตามลำดับ
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงาน เมื่อพิจารณาอิทธิพลรวมที่ส่งผลต่อปัจจัยความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงาน (NEEDS) ในตารางที่ 4.19 พบว่า ปัจจัยด้านตัวครู ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีขนาดอิทธิพลทางลบและมีค่าน้ำหนักเท่ากับ 0.73 โดยค่าน้ำหนักองค์ประกอบของตัวแปรสังเกตได้ของตัวแปรแฝงภายนอกด้านตัวครู ทุกตัวมีค่าแตกต่างจากศูนย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยตัวแปรที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมากที่สุด คือ ทัศนคติในการปฏิบัติงาน มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 1.00 รองลงมา คือ ชีวิตครอบครัว มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.99 ภาระงานของครู มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.87 และแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.83 กล่าวคือ ครูที่มีทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงาน มีชีวิตครอบครัวที่ดี มีภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมาก และมีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานมาก มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงานน้อย ส่วนปัจจัยด้านภูมิหลัง ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม พบว่า ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า ปัจจัยด้านภูมิหลังและปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมไม่มีอิทธิพลต่อตัวแปรความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงาน โดยโมเดลเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการปฏิบัติงานของครูที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยให้ค่าไค-สแควร์ เท่ากับ 59.11 ที่องศาอิสระเท่ากับ 56 ที่ระดับความน่าจะเป็นเท่ากับ 0.36264 มีค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.98 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ 0.96 และค่าดัชนีกำลังสองของส่วนเหลือ (RMR) เท่ากับ 0.02 ตัวแปรในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพได้ ร้อยละ 7 4. แนวทางในการแก้ไขปัญหาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงาน จากการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงานด้วยโปรแกรมลิสเรล พบว่า ตัวแปรแนวทางการพัฒนาครู มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.08 ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ตัวแปรสังเกตได้ของตัวแปรแฝงภายนอกแนวทางการพัฒนาครู ทุกตัวมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยแนวทางการพัฒนาครูด้วยการมีพี่เลี้ยง/ผู้เชี่ยวชาญแนะนำงาน มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.94 ซึ่งมีความสำคัญและมีแนวโน้มที่จะเป็นแนวทางการพัฒนาครูได้ดีที่สุด รองลงมา คือ การสัมมนาวิชาการ มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.83 การฝึกอบรมโดยบุคลากรภายนอก มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.74 การศึกษาดูงาน มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.70 การจัดสัปดาห์วิชาการ มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.70 การฝึกอบรมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.66 การปะชุมเชิงปฏิบัติการ มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.62 การฝึกอบรมโดยหน่วยงานเอกชน มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.58 และการฝึกอบรมโดยบุคลากรภายในโรงเรียน มีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.54 ซึ่งเป็นแนวทางที่มีแนวโน้มน้อยที่สุดในการพัฒนาครู โดยโมเดลแนวทางการพัฒนาครูมืออาชีพในการปฏิบัติงานที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์โดยให้ ค่าไค-สแควร์ เท่ากับ 47.21 ค่าองศาอิสระเท่ากับ 42 ที่ระดับความน่าจะเป็นเท่ากับ 0.26804 มีค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.98 ดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ 0.96 และค่าดัชนีกำลังสองของส่วนเหลือ (RMR) เท่ากับ 0.03 ตัวแปรในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของแนวทางการพัฒนาครูได้ร้อยละ 1 และเมื่อดูจากข้อมูลเชิงบรรยาย พบว่า ตัวแปรที่คาดว่าจะเป็นแนวทางการพัฒนาครูมากที่สุด คือ การฝึกอบรมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา

ข้อเสนอแนะ(Suggestion)
1.การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเฉพาะครูในเขตกรุงเทพมหานคร จึงน่าจะมีการศึกษาการพัฒนาการปฏิบัติงานของครูมืออาชีพในส่วนภูมิภาคที่มีความแตกต่างกันของสภาพแวดล้อมของโรงเรียนด้วย เพื่อให้ได้ข้อสารสนเทศที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
2.จากการศึกษาที่พบว่าครูมีความต้องการจำเป็นในด้านความรับผิดชอบในวิชาชีพมากที่สุด ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาและวิจัยรูปแบบที่เหมาะสมในการดำเนินการพัฒนาด้านความรับผิดชอบในวิชาชีพของครูเพื่อให้การพัฒนาการปฏิบัติงานของครูเกิดประโยชน์สูงสุด
3.ผลการวิเคราะห์โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูในครั้งนี้ พบว่า ตัวแปรในโมเดลสามารถร่วมอธิบายความแปรปรวนของการพัฒนาครูได้ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นจึงน่าจะมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อค้นหาตัวแปรประเภทอื่นที่จะส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครู
4.ในการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการศึกษาถึงแนวทางการพัฒนาครูในส่วนของการพัฒนาครู ให้ครูมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติงาน และควรที่จะนำแนวทางที่ได้ไปทำการทดลองปฏิบัติ และทำการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแนวทางการพัฒนาครู

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

พฤติกรรมการเปิดรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและความพึงพอใจของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

สรุปการวิจัยเรื่อง
“พฤติกรรมการเปิดรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและความพึงพอใจของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี”



การวิจัยเรื่อง “พฤติกรรมการเปิดรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและความพึงพอใจของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี” เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามจำนวน
400 ชุด ผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลโดยการแจกแบบสอบถามด้วยตนเอง โดยนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ดังนี้
1.คำนวณหาค่าเฉลี่ยของข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม และพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต โดยรวมเป็นรายข้อ
2.คำนวณหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของปัญหาการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต และความพึงพอใจการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต โดยรวมเป็นรายด้าน
โดยผลการวิจัยเป็นดังนี้
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21-25 ปี รองลงมา คือ อายุมากกว่า 26 ปี ส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปีที่ 3 และปีที่ 2 โดยส่วนใหญ่ศึกษาคณะวิทยาการจัดการ รองลงมา คือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ , คณะเทคโนโลยี และคณะครุศาสตร์
ส่วนใหญ่มีการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ช่วงเวลาวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) รองลงมา คือ ทุกวัน/เกือบทุกวัน โดยเวลาที่สืบค้นคือช่วงวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) เวลา 08.00 น. – 15.59 น. และ เวลา 16.00 น. – 23.59 น. ส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาในการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต 1-2 ชั่วโมง และ 5 ชั่วโมงขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูล คือ ค้นหารายวิชาที่เปิดสอนเพื่อลงทะเบียน และ ค้นคว้าหาข้อมูลประกอบการทำรายงาน/วิจัย/โครงการ ส่วนสถานที่ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีที่สืบค้นข้อมูลส่วนใหญ่ คือ ที่สำนักวิทยบริการ และ ศูนย์คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังนิยมใช้สถานที่ในการสืบค้นข้อมูลที่หอพัก
ระดับความพึงพอใจการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้ตอบแบบสอบถามแบ่งความพึงพอใจออกเป็น 5 ด้าน โดยมีการแปรผลดังนี้
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการดาวน์โหลดคลิปวีดีโอ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก รองลงมา คือการ ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้งาน จัดอยู่ในเกณฑ์มาก และ การสื่อสารผ่านทางE-mail จัดอยู่ในเกณฑ์มากเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านฮาร์ดแวร์ของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก
ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในในความเพียงพอของเครื่องคอมพิวเตอร์ในร้านที่ไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก รองลงมา คือ ความทันสมัยของเครื่องคอมพิวเตอร์ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก และความเพียงพอ
ของอุปกรณ์เสริมในร้านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์มากเช่นกัน


ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านซอฟต์แวร์ของผู้ตอบ ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ
ในความหลากลายของโปรแกรมที่ติดตั้งประจำของแต่ละเครื่องในร้านที่ไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์
มากเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านระบบการสื่อสารของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล จัดอยู่ในเกณฑ์มากรองลงมา คือ ความเร็วในการใช้สื่อมัลติมีเดีย จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง และความเร็วในการสนทนา (Chat) จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านสภาพแวดล้อมของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก
ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในสถานที่ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ในร้านที่ท่านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก
รองลงมา คือ ระดับแสงสว่างในร้านที่ท่านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง และการจัดพื้นที่สัญจรไปมาในร้านที่ท่านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านบริการของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการติดตั้งกล้องวงจรปิด จัดอยู่ในเกณฑ์มาก รองลงมา คือ การเปิด-ปิดของร้านที่ให้การบริการ
จัดอยู่ในเกณฑ์มาก


สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การศึกษาวิจัยเรื่อง“พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี” โดยมีวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการวิจัย และ ผลการวิจัย โดยสรุปดังนี้

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2.เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตของนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

เครื่องมือในการดำเนินวิจัย
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรการวิจัย ได้แก่ นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ในปี 2552 จำนวนประชากรทั้งสิ้น 19,799 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มจากประชากรโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย คือ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง
จากตารางสำเร็จของ Krejcie และ Morgan เมื่อจำนวนประชากรเท่ากับ 19,799 คน ดังนั้นจำนวนตัวอย่าง
ควรจะเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 377 คน พิจารณากลุ่มประชากร ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ในปี 2552 เพื่อให้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างมีความสมดุล และสอดคล้องกับการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie และ Morgan จึงใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ในการวิจัยครั้งนี้

เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้ที่ศึกษาใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ซึ่งสร้างขึ้นจากการได้การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ปัญหาการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต และความพึงพอใจในการใช้บริการเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ซึ่งแบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ตอน คือ

ตอนที่ 1 เป็นข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามประเภท ตรวจสอบรายการ
ตอนที่ 2 เป็นข้อมูลพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เป็นแบบสอบถามประเภท ตรวจสอบรายการ
ตอนที่ 3 ความพึงพอใจในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เป็นแบบสอบถามประเภท ชนิดมาตรประมาณค่า
ตอนที่ 4 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อเสนอแนะ

การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ใช้ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลและประมวลผลจำนวน 2 สัปดาห์

การสร้างเครื่องมือในการวิจัย
การสร้างเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สร้างแบบสอบถาม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวม โดยการดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1.ทำการวิเคราะห์จุดมุ่งหมายของการวิจัย ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเพื่อที่จะได้กำหนด วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ตรงกับจุดหมาย
2. กำหนดลักษณะข้อมูลว่ามีข้อมูล ลักษณะ เพื่อที่จะได้กำหนดระดับการวัดและกำหนดเครื่องมือวัดให้ตรงจุดมุ่งหมาย ในที่นี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการวิจัย
3. พิจารณาคำภาม ศึกษาตัวอย่างเครื่องมือแบบสอบถามที่คล้ายกันหรือเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะได้เก็บข้อมูลได้ตรงกับจุดมุ่งหมาย โดยศึกษาจากเครื่องมือของบทวิจัยหรือบทวิทยานิพนธ์ที่มีเนื้อหาใกล้เคียง และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
4. สร้างเครื่องมือแบบสอบถามที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม 4 ขั้นตอน ประเภทมาตรประมาณค่า ชนิดตรวจรายการ และแบบสอบถามแบบเปิด
5. ทดลองใช้เครื่องมือและหาคุณภาพด้านความตรง ความเที่ยง และคุณภาพด้านอื่น กับ ประชาชน ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 10 ชุด
6. เก็บรวบรวมข้อมูล ปรับปรุงเครื่องมือในการวิจัยให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ต่างๆ แล้วจึงนำมาใช้เก็บข้อมูลจริง

การแปลความหมายค่าเฉลี่ย
ผู้วิจัยได้ตั้งเกณฑ์ในการแปลความหมายค่าเฉลี่ยของระดับคะแนนปัญหาการใช้งานของบุคลากร
และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี การแปลความหมายค่าเฉลี่ยมีดังนี้
ปัญหามากที่สุด ( 5) หมายถึง ระดับปัญหาที่พบมากที่สุด
ปัญหามาก ( 4) หมายถึง ระดับปัญหาที่พบ
ปัญหาปานกลาง ( 3) หมายถึง ระดับปัญหาที่ปานกลาง
ปัญหาน้อย ( 2) หมายถึง ระดับปัญหาที่พบน้อย
ปัญหาน้อยที่สุด ( 1) หมายถึง ระดับปัญหาที่พบน้อยที่สุด
วิธีดำเนินการวิจัย
การเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ในปี 2552 จำนวน 400 คน และผู้วิจัย
ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง

สรุปผลการวิจัย
“พฤติกรรมการเปิดรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและความพึงพอใจของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี”เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามจำนวน
400 ชุด ผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลโดยการแจกแบบสอบถามด้วยตนเอง โดยนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ดังนี้
1.คำนวณหาค่าเฉลี่ยของข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม และพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต โดยรวมเป็นรายข้อ
2.คำนวณหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของปัญหาการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต และความพึงพอใจการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต โดยรวมเป็นรายด้าน
โดยผลการวิจัยเป็นดังนี้


ตอนที่ 1 ข้อมูลลักษณะส่วนบุคคลทั่วไป
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21-25 ปี รองลงมา คือ อายุมากกว่า 26 ปี ส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปีที่ 3 และปีที่ 2 โดยส่วนใหญ่ศึกษาคณะวิทยาการจัดการ รองลงมา คือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ , คณะเทคโนโลยี และคณะครุศาสตร์

ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการเปิดรับอินเทอร์เน็ต
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ช่วงเวลาวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) รองลงมา คือ ทุกวัน/เกือบทุกวัน โดยเวลาที่สืบค้นคือช่วงวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) เวลา 08.00 น. – 15.59 น. และ เวลา 16.00 น. – 23.59 น. ส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาในการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต 1-2 ชั่วโมง และ 5 ชั่วโมงขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูล คือ ค้นหารายวิชาที่เปิดสอนเพื่อลงทะเบียน และ ค้นคว้าหาข้อมูลประกอบการทำรายงาน/วิจัย/โครงการ ส่วนสถานที่ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีที่สืบค้นข้อมูลส่วนใหญ่ คือ ที่สำนักวิทยบริการ และ ศูนย์คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังนิยมใช้สถานที่ในการสืบค้นข้อมูลที่หอพัก

ตอนที่ 3 ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ต
ระดับความพึงพอใจการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้ตอบแบบสอบถามแบ่งความพึงพอใจออกเป็น 5 ด้าน โดยมีการแปรผลดังนี้
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการดาวน์โหลดคลิปวีดีโอ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก รองลงมา คือการ ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้งาน จัดอยู่ในเกณฑ์มาก และ การสื่อสารผ่านทางE-mail จัดอยู่ในเกณฑ์มากเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านฮาร์ดแวร์ของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก
ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในในความเพียงพอของเครื่องคอมพิวเตอร์ในร้านที่ไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก รองลงมา คือ ความทันสมัยของเครื่องคอมพิวเตอร์ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก และความเพียงพอ
ของอุปกรณ์เสริมในร้านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์มากเช่นกัน

ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านซอฟต์แวร์ของผู้ตอบ ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ
ในความหลากลายของโปรแกรมที่ติดตั้งประจำของแต่ละเครื่องในร้านที่ไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์
มากเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านระบบการสื่อสารของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล จัดอยู่ในเกณฑ์มากรองลงมา คือ ความเร็วในการใช้สื่อมัลติมีเดีย จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง และความเร็วในการสนทนา (Chat) จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านสภาพแวดล้อมของผู้ตอบแบบสอบถามใน 3 ลำดับแรก
ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในสถานที่ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ในร้านที่ท่านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์มาก
รองลงมา คือ ระดับแสงสว่างในร้านที่ท่านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง และการจัดพื้นที่สัญจรไปมาในร้านที่ท่านไปใช้บริการ จัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเช่นกัน
ความพึงพอใจในการใช้อินเทอร์เน็ตด้านบริการของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการติดตั้งกล้องวงจรปิด จัดอยู่ในเกณฑ์มาก รองลงมา คือ การเปิด-ปิดของร้านที่ให้การบริการ
จัดอยู่ในเกณฑ์มาก เช่นกัน


อภิปรายผล
ข้อมูลลักษณะบุคคลทั่วไป
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ วิฑูรย์ เลิศประเสริฐพันธ์ (2543) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของวัยรุ่นในชีวิตประจำวันกรณีศึกษาเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างจำนวน
200 คน เป็นส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง
ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21-25 ปี รองลงมา คือ อายุมากกว่า 26 ปี ส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นปีที่ 3 และปีที่ 2 โดยส่วนใหญ่ศึกษาคณะวิทยาการจัดการ รองลงมา คือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ , คณะเทคโนโลยี และคณะครุศาสตร์

พฤติกรรมการเปิดรับอินเทอร์เน็ต
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วงเวาลาวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) เวลา 08.00 น. – 15.59 น. มีความขัดแย้งกับผลงานวิจัยของวิฑูรย์ เลิศประเสริฐพันธ์ (2543) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของวัยรุ่นในชีวิตประจำวันกรณีศึกษาเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยผลการวิจัยพบว่าช่วงเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ
22.00 – 24.00 น. ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการใช้ชีวิตของนักศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัยแตกต่างกัน

ข้อเสนอแนะการวิจัย
1. ขั้นตอนในการแจกแบบสอบถาม ควรมีการวางแผนเกี่ยวกับ วัน เวลา สถานที่ ให้มีความครอบคลุม เพื่อการประหยัดเวลาในการแจกแบบสอบถาม
2. ควรมีผู้ช่วยในการแจกแบบสอบถาม เพื่อความรวดเร็ว และลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน


ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
จากบทสรุปของการวิจัยครั้งนี้ ทำให้ผู้วิจัยได้ทราบว่า พฤติกรรมการเปิดรับเทคโนโลยี
อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ใช้สำหรับการศึกษาเพื่อดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร และสืบค้นข้อมูลเพื่อการศึกษามากที่สุด
1. ทัศนะคติของนักศึกษาที่มีต่อเว็ปไซต์ www.udru.ac.th มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2. ความพึงพอใจและการใช้ประโยชน์จากเว็ปไซต์ www.udru.ac.th มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ทั้งนี้ เพื่อนำผลการศึกษาที่ได้มาปรับใช้และเป็นแนวทางในการสร้างฐานข้อมูลทางการศึกษาให้มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ต่อไป



นางสาวลลิดา คนงาม ประชาสัมพันธ์ 4/3 รหัส 50040003150